หลวงพ่อพระใส
วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมือง
ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง
ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย
ในเขตเทศบาลเมือง ห่างจากตัวเมืองหนองคายไปประมาณ 2
กิโลเมตร ตามทาง หลวงหมายเลข 212 ทางไป อ.โพนพิสัย วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ
เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก
หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้อล่างถึงยอดพระเกศ
๔ คืบ ๑ นิ้วของช่างไม้
ประวัติการสร้าง
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือประวัติพระพุทธรูปสำคัญ
ซึ่งพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2468 ว่า หลวงพ่อพระใส
เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง และตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า
พระธิดา 3 องค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บางท่านก็ว่าเป็นพระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช
ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนาม พระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ด้วยว่า
พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง
มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ
การประดิษฐาน
เดิมทีนั้นหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์
พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรีได้อัญเชิญไปไว้ที่เมืองเวียงคำ
และถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทน์อีก
ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฎ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ
จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควายขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่
ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่นในขณะนั้น
เกิดอัศจรรย์แท่นของพระสุกได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุพัดแรงจัด
และบริเวณนั้นได้นามว่า "เวินแท่น"
การล่องแพก็ยังล่องมาตามลำดับจนถึงน้ำโขง
(ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
ได้เกิดพายุใหญ่ เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น ในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ
ซึ่งอาการวิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปเป็นอัศจรรย์ยิ่ง บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า
"เวินสุก" และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้
ก็ยังเหลือแต่พระเสริม
พระใส ที่ได้นำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมนั้นได้ถูกอัญเชิญประดิษฐานไว้
ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใส ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง
(ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่
๔ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น
(ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัย หนองคายไปกรุงเทพฯ
และอัญเชิญพระใสจากวัดหอก่องขึ้นประดิษฐานบนเกวียนจะอัญเชิญลงไปกรุงเทพฯ
ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธื์ชัย หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้
ได้แต่พระเสริมลงกรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม
ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย
อ.เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า
"หลวงพ่อเกวียนหัก"
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
อนุสาวรีย์ ปราบฮ่อ
อนุสาวรีย์
ปราบฮ่อ เป็นอนุสาวรีย์แห่งเดียวในจังหวัดหนองคาย
เป็นอนุสาวรีย์เทิดทูนความดีของผู้ล่วงลับไปแล้ว ในการปราบฮ่อ ในปี ร.ศ.
105 (พ.ศ. 2429) เสด็จในกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
รับสั่งให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่เมืองหนองคาย
เพื่อบรรจุอัฐิของผู้ที่เสียชีวิต
ใน
การปราบฮ่อ เดิมตั้งอยู่ที่หลังสถานีตำรวจภูธร จังหวัดหนองคาย ต่อมาในปี
พ.ศ. 2492
ทางจังหวัดหนองคายได้รับงบประมาณให้เสริมสร้างอนุสาวรีย์ปราบฮ่อให้สง่างาม
สมกับเป็นอนุสาวรีย์ของผู้ที่ได้เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองให้เป็นศรีสง่า
แก่เมืองหนองคายสืบไป จึงย้ายมาสร้างใหม่ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด
มีคำจารึกที่อนุสาวรีย์ทั้ง 4 ทิศ ทั้งภาษาไทย จีน ลาวและอังกฤษ
ทางจังหวัดได้กำหนดให้มีการจัดงานบวงสรวงและฉลองอนุสาวรีย์เป็นประจำทุกวัน
ที่ 5 มีนาคม ของทุกปี
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1 (อังกฤษ: First Thai–Lao Friendship Bridge; ลาว: ຂົວມິດຕະພາບ ລາວ-ໄທ ແຫ່ງທຳອິດ) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงขนาดใหญ่แห่งแรก โดยเชื่อมต่อเทศบาลเมืองหนองคายเข้ากับบ้านท่านาแล้ง ซึ่งอยู่ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ประมาณ 20 กิโลเมตร ประเทศลาว ตัวสะพานมีความยาว 1,170 เมตร มีทางรถ 2 ช่องจราจร กว้างข่องละ 3.5 เมตร ทางเท้า 2 ช่องทาง กว้างช่องละ 1.5 เมตร และรถไฟรางเดี่ยวกว้าง 1 เมตร ตั้งอยู่กึ่งกลาง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 30,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย ใช้ระยะเวลาก่อสร้างระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2534 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2537 และเพื่อเป็นการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. 2558
ประวัติ
สะพานแห่งนี้ได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2537 โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย และนายหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศลาวลักษณะของสะพาน
สะพาน มิตรภาพไทย-ลาว 1แห่งนี้เป็นแบบคอนกรีตอัดแรง เสริมเหล็กแบบ Box Girder มีความยาวทั้งสิ้น 1170 เมตร พื้นผิวจราจรประกอบด้วยช่องจราจร 2 ช่องทาง กว้างช่องทางละ 3.5 เมตร. มีช่องทางเดินทั้งสองข้าง ข้างละ 1.5 เมตร และช่องทางเดินรถไฟตรงกลางกว้าง 1 เมตร ช่วงแม่น้ำประกอบด้วยตอม่อ 6 ตอม่อ ระยะห่างระหว่างตอม่อสะพานช่วงกลางแม่น้ำ 105 เมตร ช่วงบนฝั่งทั้ง 2 ข้าง ประกอบด้วยตอม่อ 8 ตอม่อในฝั่งไทย และ 7 ตอม่อในฝั่งลาวภูห้วยอีสัน
ภูห้วยอีสัน ตั้งอยู่ใน ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม
จังหวัดหนองคาย เป็นจุดพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกได้แบบ กว้างไกลสุดตา
ถือเป็น จุดชมทะเลหมอกสุด Unseen ที่สวยงามอีกจุดหนึ่งของหนองคาย
เบื้องล่างของทะเลหมอกภูห้วยอีสันสามารถมองเห็นเกาะแก่ง
ของแม่น้ำโขงซึ่งหากวันใดที่สายหมอกบางเบาสามารถมองเห็นวิวพระอาทิตย์สีทอง
ในยามเช้าสะท้อน ไปยังพื้นน้ำและเกาะแก่ง ได้ชัดเจน
โดยระหว่างเส้นทางสามารถชมทะเลหมอกได้ประมาณ 2 จุด คือ
จุดชมวิวสูงสุดที่เป็นพื้นที่ของ อ บ ต บ้านม่วง และอีกหนึ่งจุด คือ
พื้นที่ของครัวไม้น้ำซึ่งจะอยู่ถัดลงมาด้านล่าง
ซึ่งแต่ละจุดก็มีมุมมองที่สวยงามต่างกัน ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ
ช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เวลา 05.30 น.- 08.00 น.
การเดินทางไปชม ทะเลหมอกภูห้วยอีสัน
ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวนำรถส่วนตัวขึ้นไปให้จอดรถไว้ข้างล่าง
จากนั้นให้ใช้บริการ รถอีแต๋นของชาวบ้านขึ้นไป
โดยต้องมายังจุดนัดพบซึ่งมีให้เลือกขึ้นรถ 2 จุด คือ หน้าอ.บ.ต. บ้านม่วง
โทร 042 414 871 087 219 5500 อีกจุด คือ ครัวไม้น้ำ 085-0017411
ซึ่งทั้งสองแห่งจะแยกออกจากกัน หากใช้บริการรถอีแต๋นโดยขึ้นที่ อ บ ต
บ้านม่วง รถจะพาขึ้นไปยัง จุดชมวิวสูงสุดซึ่งเป็นพื้นที่ดูแลโดย อ บ ต
บ้านม่วง หลังจากนั้นก็ค่อยเดินเท้าลงมายังจุดชมวิวของครัวไม้น้ำก็ได้
แต่ถ้าใช้บริการ รถของครัวไม้น้ำ
รถก็จะพาขึ้นไปชมวิวยังจุดชมวิวของครัวไม้น้ำซึ่งอยู่ถัดลงมาข้างล่าง
ส่วนนักท่องเที่ยวท่านใด ต้องการขึ้นไปยังจุดชมวิวสูงสุดของ อบ ต บ้านม่วง
ต้องเดินขึ้นไปเองซึ่งค่อนข้างชันพอสมควร หรือจะอาศัยรถอีแต๋นที่วิ่งผ่านไป
มาขึ้นไปก็ได้แต่ตอนกลับ หากมารถของบ้านม่วงก็ต้องกลับรถของบ้านม่วง
แต่ถ้าขึ้นรถของครัวไม้น้ำก็ต้องกลับรถของครัวไม้น้ำ
โดยสามารถไปรอขึ้นรถยังที่ทำการทั้งสองแห่งได้เลยมีรถออกตลอดเวลา
วัดพระธาตุบั้งพวน
พระธาตุบังพวนมีเนื้อที่ 102 ไร่ เจดีย์พระธาตุบังพวน เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม สร้างด้วยศิลาแลง อิฐดินเผา พ.ศ. 2210 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา โบราณวัตถุภายในวัดพระธาตุบังพวน ได้แก่ พระพุทธรูปใหญ่ 1 องค์ พระปางนาคปรก 1 องค์ ศิลาจารึก 1 หลัก พระธาตุบังพวน พระปรางค์ 3 องค์ เจดีย์เล็ก 7 องค์
เพื่อให้รู้ที่มาที่ไปของพระธาตุบังพวน ตามปรากฏในตำนานอุรังคธาตุ กล่าวว่า พระยาสุวรรณพิงคานเจ้าเมืองหนองหาน สกลนคร พระคำแดง เจ้าเมืองหนองหานน้อย อุดรธานี และพระยาจุลณีพรหมทัติ เจ้าเมืองจุลณี (ลาวเหนือ แคว้นสิบสองจุไทย) พระยาอินทปัตถนคร เจ้าเมืองอินทปัตถนคร (เขมร) และพระยานันทเสน เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์หลวง กษัตริย์ทั้ง ๕ พระองค์ได้ทรงอุปถัมภ์พระมหกัสสปะเถระ พร้อมด้วย พระอรหันต์อีก ๕๐๐ก่อสร้างพระธาตุพนมจนเสร็จแล้วและได้บรรลุอรหันต์ในเวลาต่อมา กษัตริย์ทั้ง ๕ จึงออกเดินทางไปอินเดีย เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๔๕ องค์ มาประดิษฐานไว้ในสถานที่ ๔ แห่ง ได้แก่
- ๑.อัญเชิญพระธาตุหัวเหน่า จำนวน ๒๙ องค์ มาประดิษฐานไว้ที่พระธาตุบังพวน หรือภูเขาหลวง
- ๒.อัญเชิญพระธาตุฝ่าพระบาทก้ำขวา จำนวน ๙ องค์ มาประดิษฐานไว้ที่เจดีย์พระธาตุกลางแม่น้ำโขง ณ เมืองหล้าหนองคาย
- ๓.อัญเชิญพระธาตุเขี้ยวฝาง ๓ องค์ มาประดิษฐานไว้ที่พระธาตุโพนจิกเวียงงัว บ้านปะโค จังหวัดหนองคาย
- ๔.อัญเชิญพระธาตุเขี้ยวฝาง จำนวน ๔ องค์ มาประดิษฐานไว้ที่เจดีย์พระธาตุหอผ้าหอแพ เมืองเวียงจันทร์
วัดพระธาตุบังพวน นอกจากมีองค์พระธาตุแล้ว ยังกลุ่มโบราณสถานที่เรียกว่า สัตตมหาสถาน ที่สร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนา หมายถึงการจำลองสถานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ หลังจากตรัสรู้แล้ว จำนวน ๗ แห่ง คือ โพธิบัลลังก์, อนิมมิสเจดีย์ ,รัตนจงกรมเจดีย์, รัตนฆรเจดีย์,อชาปาลนิโครธเจดีย์,มุจลินทเจดีย์ และราชายตนะเจดีย์ ซึ่งในวัดพระธาตุบังพวนแห่งนี้นับเป็นที่เดียวในโลกที่ยังหลงเหลือโบราณสถาน อันเป็นสัตตมหาสถานจากอดีตครบทั้ง ๗ สิ่ง
และเป็นสถานที่เกี่ยวกับพญานาค พลาดไม่ได้จริง ๆ ก็คือ “สระมุจลินท์” หรือ “สระพญานาค” สระ น้ำโบราณที่มีบันทึกในหนังสือใบลานที่เขียนเป็นภาษามคธ เรียกชื่อว่า “สระมังคละน้ำเที่ยงหมัน” เมื่อครั้งได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระ พุทธเจ้าบรรจุไว้ในองค์พระธาตุได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดมีสายน้ำพวยพุ่งออก มาจากพื้นดิน พระมหาเทพหลวงและพระมหาเทพพล พระภิกษุที่ดูแลองค์พระธาตุ ได้สังเกตุเห็นว่ามีสายน้ำพุ่งขึ้นมาตลอดเวลาจากปล่องภูพญานาคที่เฝ้ารักษา พระธาตุบังพวน จึงได้ชักชวนญาติโยมขุดสระรองรับน้ำเอาไว้ และสร้างรูปปั้นพญานาค ๗เศียรไว้กลางสระแห่งนี้ รูปแบบศิลปะแบบล้านช้าง ในสมัยพระเจ้าวิชลราช กษัตริย์ล้านช้างได้เสด็จมานมัสการพระธาตุ (ช่วงพ.ศ.๒๐๔๓ – ๒๐๖๓) โปรดให้มีการปรับปรุงสระน้ำแห่งนี้และนิมนต์พระคุณเจ้าจัดทำพิธีมหาพุทธา ภิเษก สระมุจลินท์ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และนำน้ำศักดิ์สิทธิแห่งนี้ไปใช้ในพิธีสำคัญในราชสำนักล้านช้างเป็นต้นมา
ในสมัยต่อมา สมเด็จพระไชยเชษฐา (พ.ศ.๒๐๙๓ข๒๑๑๕) กษัตริย์ล้านช้างได้โปรดเกล้าให้สร้างพระพุทธรูปนาคปรก ๙ เศียร ไว้ในบริเวณใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งเห็นได้ว่าในยุคสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพญานาค มีให้เห็นได้ในทุกยุคทุกสมัยแม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็ตาม ปัจจุบันสระมุจลินท์แห่งนี้ถือเป็นสระน้ำสำคัญประจำจังหวัดหนองคาย น้ำในสระแห่งนี้ถูกนำไปใช้ในพิธีสรงมูรธราชาภิเษก พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และพิธีศักดิ์สิทธิ์สำคัญๆ ในรัชกาลปัจจุบันเป็นประจำ แต่น่าเสียดายวันที่ไป บ่อน้ำมีระดับน้ำที่ลดลงจากสภาพอากาศที่ร้อนมากๆ แต่ก็มิอาจลดความเข้มขลังของสระน้ำพญานาคอันศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้ไปได้
เชื่อกันว่าการได้ไหว้สักการะพระธาตุอันเป็นสถานที่บรรจุพระบรม สารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์นั้น จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญมาสู่ผู้ที่เคารพบูชา อีกทั้งอานิสงส์ผลบุญที่ได้จากการกราบไหว้บูชา และสร้างกุศลกับพระธาตุนั้น เชื่อว่าส่งผลแรงยิ่งนัก หากผู้ใดปฏิบัติบูชาด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ และหมั่นกราบไหว้บูชาตามกำลังความสามารถทุกครั้ง อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุ จะดลบันดาลให้เกิดสิริมงคลในชีวิตแก่ตัวผู้บูชา
น้ำตกธารทอง
น้ำตกธารทองอยู่ในเขตบ้านผาตั้ง หมู่ที่ 1 ตำบลผาตั้ง
มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลไปตามลานหิน มีแอ่งน้ำให้เล่นน้ำได้
ก่อนจะลดระดับเกิดเป็นชั้นน้ำตกเล็ก ๆ เป็นระยะลดหลั่นกันไปประมาณ 30
เมตรและไหลลงสู่ลำน้ำโขงในที่สุด ช่วงเวลาที่มีน้ำมากเหมาะแก่การมาเที่ยวชม
คือระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม
บริเวณโดยรอบเป็นสวนรุกขชาติมีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น
น้ำตกธารทองไม่ห่างจากถนนเส้นหลัก มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลไปตามลานหิน
มีแอ่งน้ำให้เล่นน้ำได้ ก่อนจะลดระดับเกิดเป็นชั้นน้ำตกเล็ก ๆ
เป็นระยะลดหลั่นกันไปประมาณ 30 เมตรและไหลลงสู่ลำน้ำโขงในที่สุด
ช่วงเวลาที่มีน้ำมากเหมาะแก่การมาเที่ยวชมคือระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม
บริเวณโดยรอบเป็นสวนรุกขชาติมีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น
นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนเป็นจำนวนมาก
ช่วงวันหยุดจะมีร้านค้าจากชาวบ้านจำนวนมากนำสินค้าการเกษตรมาจำหน่าย
รวมถึงร้านอาหารก่อนทางลงไปน้ำตำก็มีมากเช่นกัน
นักท่องเที่ยวท่านใดจะทานอาหารก็สามารถทานได้ที่ร้านอาหารก่อนทางลงน้ำตก
โดยบริเวณน้ำตกห้ามนำอาหารลงไปรับประทาน
สวนรุกขชาติน้ำตกธารทอง มีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ลาดเชิงเขา มีลำ
ห้วยไซงัวไหลผ่านเป็นลำ ธารน้ำ ตกธารทองแล้วไหลลงแม่น้ำ โขง ส่วนน้ำ
ตกจะมีน้ำ ไหลเฉพาะช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน
ขึ้นอยู่กับสภาพลมมรสุมในแต่ละปี สภาพป่าเป็นป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ
บางพื้นที่ผ่านการทำ ไร่มาก่อน มีพรรณไม้เด่นขนาดไม่ใหญ่นัก ได้แก่ กระบก
ตะแบก มะพอก ประดู่ป่า เป็นต้น และมีป่าไผ่ขึ้นทดแทนป่าเดิม
บั้งไฟพญานาค
ประวัติและ ตำนาน ความเชื่อกับพญานาค บั้งไฟพญานาค
บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ซึ่งในปี 2556 นี้ จะตรงกับวันออกพรรษา วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม
ซึ่งจะมีลูกไฟประหลาดที่ผุดขึ้นจากน้ำขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
โดยปรากฎการณ์นี้ เรียกันว่า ปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาค
วันนี้สกูปเอ็มไทยจึงนำข้อมูลดีๆ ทั้งประวัติ ความเป็นมา ตำนานของพญานาคและ
บั้งไฟพญานาคมาฝากกันครับ
บั้งไฟพญานาค หรือชื่อที่เรียกกันในก่อนปี พ.ศ. 2529 ว่า บั้งไฟผี
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขง เห็นได้จากทั้งฝั่งไทยและลาว
ลักษณะเป็นลูกกลมเรืองแสงลอยขึ้นจากน้ำขึ้นไปในอากาศ
บั้งไฟพญานาคเกิดช่วงวันออกพรรษาของแต่ละปี
อีกทั้งบั้งไฟพญานาคยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด
แต่มีคำอธิบายสามแนวทาง คือ เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตามตำนาน
เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเป็นการกระทำของมนุษย์
ลักษณ์ะของบั้งไฟพญานาค
การเกิดบั้งไฟพญานาค
บั้งไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่หากขึ้นริมฝั่ง
บั้งไฟจะเอนออกไปกลางโขง ลักษณะเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ
ไปจนถึงขนาดเท่าไข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น
หรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น
บั้งไฟพญานาคจะผุดออกจากผิวน้ำตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร
พุ่งสูงขึ้นไปประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที
แล้วจะดับหายวับไปในอากาศ ทั้งที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อย ๆ
ดับ และไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ
นาค หรือ พญานาค
เป็นความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กัน แต่มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน
เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา
อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย
ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละ
ภูมิภาคจะแตกต่างกันไป
แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง
เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ
หรือบ้างก็มี 7 สี เหมือนสีของรุ้ง
และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว
แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร
ตำนานความเป็นมาของ พญานาค
เรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา
ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย
แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา
เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้
เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้
ตลาดท่าเสด็จ หรือ ตลาดอินโดจีน
ตลาดท่าเสด็จ , ตลาดท่าเรือ หรือ ตลาดอินโดจีน ล้วน แล้วแต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกขานของตลาดขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขงในเขตเทศบาลเมือง หนองคาย ตลาดแห่งนี้เป็นศูนย์รวมสินค้าจากหลากหลายประเทศในแถบอินโดจีนไม่ว่าจะเป็น ลาว , เวียดนาม , ไทย , ฯลฯ ประเภทของสินค้าที่จำหน่ายอยู่ภายในตลาดท่าเสด็จนั้นก็มีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ธรรมดาๆ , เครื่องไฟฟ้า , ของเด็กเล่น , ผ้าทอมือ , ผลไม้สด และผลไม้แห้ง ไปจนกระทั่งถึงไส้กรอกอีสานอันเป็นของฝากขึ้นชื่อของ จ.หนองคายเลยทีเดียว
ในอดีตก่อนที่จะมีการสร้างสะพานมิตรภาพไทย – ลาว ท่าเรือของตลาดสินค้าอินโดจีนริมแม่น้ำโขง อ.เมือง จ.หนองคาย เคยถูกใช้เป็นจุดผ่านแดนถาวรสำหรับผู้ซึ่งต้องการจะเดินทางไปมาระหว่างราช อาณาจักรไทย กับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีเรือข้ามฟากสัญจรไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำโขงอย่างคึกคัก คนท้องถิ่นจึงนิยมเรียกชื่อตลาดแห่งนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “ตลาดท่าเรือ” ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” พร้อมด้วย “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบอุทกภัย ณ จังหวัดหนองคาย และได้เสด็จฯขึ้นจากเรือพระที่นั่ง ณ ท่าเรือของตลาดสินค้าอินโดจีนริมแม่น้ำโขงแห่งนี้ สุดท้าย “ตลาดท่าเรือ” จึงได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น “ตลาดท่าเสด็จ” ดังเช่นในปัจจุบัน
ภายหลังจากที่มีการเปิดสะพานมิตรภาพไทย – ลาวอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2537 จุดผ่านแดนถาวรก็ได้ถูกย้ายจากตลาดท่าเสด็จไปยังสะพานมิตรภาพฯ (หากนักท่องเที่ยวต้องการจะเดินทางข้ามฟากไปมาระหว่างประเทศไทย – ลาว จะต้องไปติดต่อ ณ จุดผ่านแดนถาวรบริเวณเชิงสะพานมิตรภาพฯ) คงเหลือท่าเรือไว้ให้สำหรับคนท้องถิ่นชาวไทยและชาวลาวใช้เรือข้ามฟากเดินทางไปมาหาสู่กันได้เท่านั้น
ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น
แล้วว่าภายในตลาดท่าเสด็จนั้นมีสินค้ามากมายจากหลากหลายแหล่งที่มาให้เลือก
ซื้อหา ดูละลานตาจนอาจจะน่าเวียนหัว
ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมจึงขออนุญาตนำประสบการณ์บางส่วนของพวกเรามาเล่าสู่
กันฟัง เผื่อว่าผู้อ่านทุกๆ
ท่านจะมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์เหล่านี้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อสินค้า
หรือเดินสำรวจตรวจตราตลาดท่าเสด็จได้อย่างถ้วนทั่ว
เริ่มต้นกันด้วยเรื่องของ
อาหาร.....แน่นอนว่าอาหารที่วางจำหน่ายอยู่ภายในตลาดท่าเสด็จนั้นมีมากมาย
หลายประเภท ทั้งอาหารแห้ง , อาหารสด , อาหารปรุงสำเร็จ , ฯลฯ
แต่อาหารซึ่งทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมแนะนำว่าไม่ควรพลาดซื้อหากลับไปฝากคนรัก
ที่บ้าน หรือจะเอากลับไปรับประทานเองวันหลังก็ยอดเยี่ยม ได้แก่ “หมูยอ” , “ไส้กรอกอีสาน” และ “กุนเชียง”
ร้านจำหน่ายหมูยอและ ไส้กรอกอีสานภายในตลาดท่าเสด็จส่วนใหญ่จะมีตัวอย่างหมูยอ , ไส้กรอกอีสาน และกุนเชียงปรุงสำเร็จหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวลองลิ้มชิมรสได้ หากไม่ชอบ ไม่ซื้อ ไม่หา ก็ไม่ว่ากัน ทางที่ดีทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมแนะนำว่าให้ทดลองชิมดูหลายๆ ร้าน เปรียบเทียบรสชาติและราคาแล้วค่อยตัดสินใจซื้อ โดยไม่แนะนำให้ซื้อหมูยอห่อใบตองราคาถูกๆ (เช่น หมูยอราคา 6 – 7 ห่อ 100 บาท) เพราะแม้ว่าจะมีรสชาติอร่อยแต่มีปริมาณหมูยอซึ่งบรรจุอยู่ภายในห่อใบตองน้อยมาก (ปกติ พ่อค้าแม่ค้าจะใช้มีดตัดใบตองช่วงกลางๆ ห่อหมูยอตามขวางให้นักท่องเที่ยวเห็น เหมือนห่อใบตองจะไม่หนามาก แต่หากลองดึงท่อนหมูยอออกมาดูแล้วจะพบว่าท่อนหมูยอสั้นมาก.....ขอบอก..... ทีมงานท่องเที่ยวดอทคอมทดลองซื้อมาแล้วจ้า) หากจะซื้อหมูยอห่อใบตองแนะนำให้ซื้อแบบ 3 ห่อ 100 บาทจะคุ้มค่ากว่า ส่วนไส้กรอกอีสานและกุนเชียงนั้นไม่มีวัสดุใดๆ ห่อหุ้มปกปิดเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นแค่เปรียบเทียบรสชาติ – ราคาก็น่าจะมีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อแล้ว (พยายามอย่าซื้อไส้กรอกอีสานและกุนเชียงที่มีสีแดงมากผิดปกติ เพราะอาจมีการใส่สารเร่งเนื้อแดง)
ใครที่มาเดินตลาดท่า เสด็จแล้วเกิดอาการตาโตยามเมื่อเห็นผลไม้อบแห้งบรรจุห่อจากเมืองจีนราคาถูก เช่น ลูกเกด , ลูกพรุน , ลูกหยี , ฯลฯ อย่าเพิ่งรีบดีใจจนออกนอกหน้า ลองสอบถามข้อมูลคนขายให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากผลไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกอบแห้งมาโดยไม่ผ่านกระบวนการคัดเมล็ดออก เพราะฉะนั้นหากคิดราคาตามน้ำหนักเปรียบเทียบกับผลไม้อบแห้งซึ่งคัดเมล็ดออก แล้วอาจจะถือว่าแพงกว่าก็เป็นได้ (ทีมงานท่องเที่ยว ดอทคอมซื้อลูกเกดติดเมล็ดจากตลาดท่าเสด็จมาในราคา 7 – 8 ห่อ 100 บาท พอกลับมาบ้านแล้วลองแกะกินดู ปรากฎว่า.....มันกินยากมาก.....ก....ก..ก.ก.....เพราะเมล็ดมันติดอยู่กับ เนื้อลูกเกดจนแทบจะไม่ยอมพรากจากกันไปไหน กว่าจะกินหมดหนึ่งถุงก็เหนื่อยพอสมควรเลยทีเดียว แต่ลูกพรุนติดเมล็ดอบแห้งนี่พอกินได้ไม่ลำบากนัก.....รสชาติก็อยู่ในเกณฑ์ดี พอใช้) ส่วนอาหารอบแห้งหรืออาหารสำเร็จบรรจุหีบห่อประเภทอื่นๆ (เช่น เห็ดหอม , เห็ดหลินจือ , กระเพาะปลา , ขนมเด็ก ,ฯลฯ) เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดขนาดใหญ่ในจังหวัดต่างๆ แล้วคิดว่าราคาไม่น่าจะหนีห่างกันสักเท่าไหร่นัก
..............."ท่าเสด็จ" สุดเขตแดนที่เมืองหนองคาย...............
|
วัดหินหมากเป้ง
วัดหินหมากเป้งเป็นสถานปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน
ของพระอริยะแห่งลุ่มน้ำโขงผู้เปี่ยมด้วยญาณตบะอันแก่กล้าและมหาบารมีแห่ง
ธรรมะ เป็นที่เคารพสักการะแก่พุทธศาสนิกชนของไทยลาว
วัดหินหมากเป้งอนุสรณ์สถานวิปัสสนากรรมฐานของหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี
ตั้งอยู่ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
หลวงปู่เทศก์ เทศก์รังสี เป็นศิษย์สายวิปัสสนากรรมฐานของพระอาจารย์เสาร์ กันตะสีโร และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งท่านทั้งสองเป็นพระอาจารย์ใหญ่แห่งพระธุดงค์กรรมฐาน
หินหมากเป้งเป็นหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อนอันเป็นที่มาและ ความหมายของวัดแห่งนี้ หลวงปู่เทศก์ได้กล่าวถึงหินหมากเป้งเอาไว้ว่า หินหมากเป้งเป็นชื่อหินสามก้อนซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่ท่าน้ำริมฝั่งโขง ภายในบริเวณวัดมีรูปลักษณะคล้ายลูกตุ้มชั่งทองคำสมัยเก่า คำว่าลูกตุ้มชั่งชาวบ้านแถบนี้เรียกว่าเต่งหรือเป้งย้อยหรือหมากเป้ง คนแก่คนเฒ่าเล่าสืบต่อกันมาว่า หินหมากเป้งก้อนที่อยู่เหนือน้ำเป็นของหลวงพระบาง หินหมากเป้งก้อนกลางเป็นของบางกอกหรือกรุงเทพ หินหมากเป้งก้อนใต้เป็นของเวียงจันทน์ ต่อไปในการข้างหน้ากษัตริย์ทั้งสามนครจะมาสร้างหินหมากเป้งบริเวณนี้ ให้เจริญรุ่งเรือง ความดังกล่าวคงเป็นผู้มีญาณวิเศษพยากรณ์ไว้เป็นแน่ จากสภาพป่าดงดิบเมื่อการก่อนนี้ บัดนี้อาณาบริเวณก้อนหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อนเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นที่ยึด เหนี่ยวจิตใจพุทธศาสนิกชนทั้งหลายดังที่ปรากฏ ภายหลังจากหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี มรณภาพคณะศิษย์ได้พร้อมใจกันสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนหลวงปู่เทสก์ขึ้น และอัญเชิญพระอัฐิธาตของหลวงปู่เทศก์บรรจุบนหลบแก้วครอบไว้เพื่อเป็นตัวแทน ของดวงประทีบแหล่งลุ่มน้ำโขง พระธรรมคำสอนและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เทศก์ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งใกล้ไกลได้มาเที่ยวชมวัดหินหมากเป้งได้ศึกษาและปฏิบัติ อาณาบริเวณวัดหินหมากเป้งและลุ่มน้ำโขงแถบนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้เมื่อครั้งอดีตคนเฒ่าคนแก่บอกว่า บริเวณวัดหินหมากเป้งเป็นดินแดนเถื่อนและอาถรรพ์ที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้า ย่างกลายเข้ามาใกล้ ชีวิตคน ชีวิตสัตว์ป่าได้เคยสังเวยมานับศพไม่ถ้วนแล้ว ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มักมีเรื่องราวกล่าวขานเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ มหัศจรรย์ เกี่ยวกับเหล่ากายทิพย์เทวดาพญานาคกับพระอริยะสงฆ์ซึ่งเรามักจะเคยได้ยิน เสมอๆ ทั้งจาการบอกเล่าไว้ของอริยะสงฆ์เองและจากสัจจานุสิตนำมาบอกเล่าต่อๆกันว่า พระอริยะสงฆ์ท่านสามารถติดต่อกับเหล่าเทพ เทวดา พญานาคทั้งหลายได้ด้วยญาณวิเศษและบรรดาเทพ เทวดา พญานาคเหล่านั้น ต่างก็มาก็เข้ามาคอยรับฟังธรรมะจากพวกท่านอยู่เสมอ
หลวงปู่เทสก์เคยบอกเล่าแก่ศิษย์ญาณุศิษย์ฟังว่า เบื้องล่างแผ่นดินของจังหวัดหนองคายเป็นเมืองบาดาลภายใต้หินหมากเป้งแห่งนี้ ลึกลงไปจะเป็นถ้ำที่พักของเหล่าพญานาคซึ่งเป็นโพลงถ้ำขนาดใหญ่โตมหึมา เป็นโพลงถ้ำที่ทอดทะลุถึงวัดพระพุทธบาทดอนแก้ว ใกล้วัดหินหมากเป้งอันเป็นรอยพระพุทธบาทองค์จริงอยู่ที่นั้นและโพลงถ้ำยัง ทอดทะลุไปโดยตลอดทั่วถึงกันทุกหนแห่งของอาณาบริเวณของเมืองพญานาค ในวันดีคืนดีโดยเฉพาะวันพระเหล่าพญานาคที่คอยพิทักษ์รักษาวัดหินหมากเป้ง ก็จะพากันขึ้นมาเฝ้าฟังอรรถรสบทธรรมของหลวงปู่เทศก์ เทพรังสีแถวๆท่าน้ำบริเวณหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อน ซึ่งหลวงปู่เทศก์เองก็ได้เทศนาโปรดพญานาคเหล่านั้น และท่านเองยังบอกเล่าว่าเคยลงไปพบพญานาคอยู่หลายครั้ง ที่วัดหินหมากเป้งแห่งนี้เคยมีบั้งไฟพญานาคปรากฏให้เห็นในวันออกพรรษา ซึ่งคนที่นี่เชื่อว่าเป็นดวงไฟที่พญานาคจุดขึ้นมาเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แห่งวัดหินหมากเป้งแห่งนี้
หลังจากหลวงปู่เทสก์ละสังขารในวันประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทศก์ ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น โดยได้มีงูหลามขนาดใหญ่หลายตัวปรากฏกายให้ผู้ที่มาร่วมงานได้พบเห็นบริเวณ ใกล้ๆกับลานที่ประกอบพิธี บรรดาผู้พบเห็นต่างโจทย์ขานกันไปต่างๆนานาถึงงูลึกลับเหล่านั้น ว่าเป็นตัวแทนของพญานาคที่มีความเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาร่วมประกอบพิธีพระราช ทานเพลิงศพหลวงปูเทศก์ พองานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทสก์เสร็จสิ้นบรรดางูเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏกาย ให้ผู้คนได้พบเห็นอีกเลย
หลวงปู่เทศก์ เทศก์รังสี เป็นศิษย์สายวิปัสสนากรรมฐานของพระอาจารย์เสาร์ กันตะสีโร และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งท่านทั้งสองเป็นพระอาจารย์ใหญ่แห่งพระธุดงค์กรรมฐาน
หินหมากเป้งเป็นหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อนอันเป็นที่มาและ ความหมายของวัดแห่งนี้ หลวงปู่เทศก์ได้กล่าวถึงหินหมากเป้งเอาไว้ว่า หินหมากเป้งเป็นชื่อหินสามก้อนซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่ท่าน้ำริมฝั่งโขง ภายในบริเวณวัดมีรูปลักษณะคล้ายลูกตุ้มชั่งทองคำสมัยเก่า คำว่าลูกตุ้มชั่งชาวบ้านแถบนี้เรียกว่าเต่งหรือเป้งย้อยหรือหมากเป้ง คนแก่คนเฒ่าเล่าสืบต่อกันมาว่า หินหมากเป้งก้อนที่อยู่เหนือน้ำเป็นของหลวงพระบาง หินหมากเป้งก้อนกลางเป็นของบางกอกหรือกรุงเทพ หินหมากเป้งก้อนใต้เป็นของเวียงจันทน์ ต่อไปในการข้างหน้ากษัตริย์ทั้งสามนครจะมาสร้างหินหมากเป้งบริเวณนี้ ให้เจริญรุ่งเรือง ความดังกล่าวคงเป็นผู้มีญาณวิเศษพยากรณ์ไว้เป็นแน่ จากสภาพป่าดงดิบเมื่อการก่อนนี้ บัดนี้อาณาบริเวณก้อนหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อนเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นที่ยึด เหนี่ยวจิตใจพุทธศาสนิกชนทั้งหลายดังที่ปรากฏ ภายหลังจากหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี มรณภาพคณะศิษย์ได้พร้อมใจกันสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนหลวงปู่เทสก์ขึ้น และอัญเชิญพระอัฐิธาตของหลวงปู่เทศก์บรรจุบนหลบแก้วครอบไว้เพื่อเป็นตัวแทน ของดวงประทีบแหล่งลุ่มน้ำโขง พระธรรมคำสอนและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เทศก์ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งใกล้ไกลได้มาเที่ยวชมวัดหินหมากเป้งได้ศึกษาและปฏิบัติ อาณาบริเวณวัดหินหมากเป้งและลุ่มน้ำโขงแถบนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้เมื่อครั้งอดีตคนเฒ่าคนแก่บอกว่า บริเวณวัดหินหมากเป้งเป็นดินแดนเถื่อนและอาถรรพ์ที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้า ย่างกลายเข้ามาใกล้ ชีวิตคน ชีวิตสัตว์ป่าได้เคยสังเวยมานับศพไม่ถ้วนแล้ว ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มักมีเรื่องราวกล่าวขานเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ มหัศจรรย์ เกี่ยวกับเหล่ากายทิพย์เทวดาพญานาคกับพระอริยะสงฆ์ซึ่งเรามักจะเคยได้ยิน เสมอๆ ทั้งจาการบอกเล่าไว้ของอริยะสงฆ์เองและจากสัจจานุสิตนำมาบอกเล่าต่อๆกันว่า พระอริยะสงฆ์ท่านสามารถติดต่อกับเหล่าเทพ เทวดา พญานาคทั้งหลายได้ด้วยญาณวิเศษและบรรดาเทพ เทวดา พญานาคเหล่านั้น ต่างก็มาก็เข้ามาคอยรับฟังธรรมะจากพวกท่านอยู่เสมอ
หลวงปู่เทสก์เคยบอกเล่าแก่ศิษย์ญาณุศิษย์ฟังว่า เบื้องล่างแผ่นดินของจังหวัดหนองคายเป็นเมืองบาดาลภายใต้หินหมากเป้งแห่งนี้ ลึกลงไปจะเป็นถ้ำที่พักของเหล่าพญานาคซึ่งเป็นโพลงถ้ำขนาดใหญ่โตมหึมา เป็นโพลงถ้ำที่ทอดทะลุถึงวัดพระพุทธบาทดอนแก้ว ใกล้วัดหินหมากเป้งอันเป็นรอยพระพุทธบาทองค์จริงอยู่ที่นั้นและโพลงถ้ำยัง ทอดทะลุไปโดยตลอดทั่วถึงกันทุกหนแห่งของอาณาบริเวณของเมืองพญานาค ในวันดีคืนดีโดยเฉพาะวันพระเหล่าพญานาคที่คอยพิทักษ์รักษาวัดหินหมากเป้ง ก็จะพากันขึ้นมาเฝ้าฟังอรรถรสบทธรรมของหลวงปู่เทศก์ เทพรังสีแถวๆท่าน้ำบริเวณหินศักดิ์สิทธิ์สามก้อน ซึ่งหลวงปู่เทศก์เองก็ได้เทศนาโปรดพญานาคเหล่านั้น และท่านเองยังบอกเล่าว่าเคยลงไปพบพญานาคอยู่หลายครั้ง ที่วัดหินหมากเป้งแห่งนี้เคยมีบั้งไฟพญานาคปรากฏให้เห็นในวันออกพรรษา ซึ่งคนที่นี่เชื่อว่าเป็นดวงไฟที่พญานาคจุดขึ้นมาเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แห่งวัดหินหมากเป้งแห่งนี้
หลังจากหลวงปู่เทสก์ละสังขารในวันประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทศก์ ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น โดยได้มีงูหลามขนาดใหญ่หลายตัวปรากฏกายให้ผู้ที่มาร่วมงานได้พบเห็นบริเวณ ใกล้ๆกับลานที่ประกอบพิธี บรรดาผู้พบเห็นต่างโจทย์ขานกันไปต่างๆนานาถึงงูลึกลับเหล่านั้น ว่าเป็นตัวแทนของพญานาคที่มีความเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาร่วมประกอบพิธีพระราช ทานเพลิงศพหลวงปูเทศก์ พองานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เทสก์เสร็จสิ้นบรรดางูเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏกาย ให้ผู้คนได้พบเห็นอีกเลย
พระธาตุหล้าหนอง
พระธาตุหนองคาย หรือพระธาตุกลางน้ำเดิมชื่อพระธาตุหล้า
หนองเป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมธาตุ
ฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ตามตำนานอุรังคธาตุ
หรือตำนานพระธาตุพนมจากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีภาค 7
พบว่าองค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ 17.2 เมตร ย่อมุมที่ฐาน
และมีความสูงประมาณ 28.5 เมตร หักออกเป็น 3 ท่อน สันนิษฐานว่า
น่าจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 20–22 เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวน
ในหนังสืออุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนม
ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงการสร้างพระธาตุหล้าหนองว่า พระธาตุองค์นี้
สร้างโดยพระอรหันต์5 องค์ ประกอบด้วย พระมหารัตนเถระ, พระจุลรัตนเถระ,
พระมหาสุวรรณปราสาทเถระ, พระจุลสุวรรณปราสาทเถระ และพระสังฆวิชัยเถระ
ที่ล้วนเป็นศิษย์พระพุทธรักขิต พระธรรมรักขิต พระสังฆรักขิต
พระอรหันต์ทั้ง 3 องค์ พระอรหันต์ทั้ง 5 ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของ
พระพุทธเจ้าจาก
ประเทศอินเดียมาพร้อมกันและได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้พร้อมกัน 6 แห่ง คือ
- พระธาตุหอผ้าหอแพบ้านทรายฟองเมืองหาดทรายฟองสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระธาตุหัวเหน่า 29 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระอุรังคธาตุ หรือพระธาตุหน้าอก บรรจุไว้ที่พระธาตุพนมอำเภอธาตุพนมจังหวัดนครพนม
- พระธาตุบังคล หรือกระเพาะอาหาร บรรจุไว้ที่พระธาตุบังพวนวัดพระธาตุบังพวนอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุเขี้ยวฝาง 7 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุโพนจิกเวียงงัวอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุฝ่าพระบาทเบื้องขวา 9 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุเมืองลาหรือพระธาตุหล้าหนองอำเภอ เมืองหนองคายโดย พระธาตุหล้าหนองนี้ตั้งอยู่กลางบริเวณวัดธาตุ หรือวัดสิริมหากัจจายน์ ชุมชนวัดธาตุเทศบาลเมืองหนองคาย
- พระธาตุหอผ้าหอแพบ้านทรายฟองเมืองหาดทรายฟองสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระธาตุหัวเหน่า 29 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระอุรังคธาตุ หรือพระธาตุหน้าอก บรรจุไว้ที่พระธาตุพนมอำเภอธาตุพนมจังหวัดนครพนม
- พระธาตุบังคล หรือกระเพาะอาหาร บรรจุไว้ที่พระธาตุบังพวนวัดพระธาตุบังพวนอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุเขี้ยวฝาง 7 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุโพนจิกเวียงงัวอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุฝ่าพระบาทเบื้องขวา 9 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุเมืองลาหรือพระธาตุหล้าหนองอำเภอ เมืองหนองคายโดย พระธาตุหล้าหนองนี้ตั้งอยู่กลางบริเวณวัดธาตุ หรือวัดสิริมหากัจจายน์ ชุมชนวัดธาตุเทศบาลเมืองหนองคาย
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
10 สถานที่เที่ยวจังหวัดหนองคาย
1. วัดโพธิ์ชัย
วัด โพธิ์ชัย หรือวัดหลวงพ่อพระใส วัดดังที่มีชื่อเสียงของจังหวัดหนองคาย ตั้งอยู่ที่ 873 ถนนประจักษ์ศิลปาคม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดนิกายมหานิกาย ภายในประดิษฐานหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้วของช่างไม้ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ชาวเมืองหนองคายนับถือกัน มาก
2. สะพานมิตรภาพไทย-ลาว
ถือเป็นสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งแรกในประเทศไทยที่ตัวสะพานข้ามแม่น้ำโขง จากจังหวัดหนองคายไปยังเมืองท่าเดื่อ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเวียงจันทน์ (เมืองหลวงของประเทศลาว) ประมาณ 20 กิโลเมตร นับเป็นสะพานที่สร้างความ สัมพันธ์ไทย-ลาว ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยตัวสะพานมีความยาว 1,174 เมตร กว้าง 12.7 เมตร แบ่งช่องจราจรออกเป็น 2 ช่องทาง พร้อมทั้งออกแบบช่องตรงกลางสำหรับให้รถไฟ ใช้เวลาการก่อสร้าง 3 ปี แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2537 ด้วยความร่วมมือจาก 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย, ลาว, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
3. น้ำตกธารทอง
น้ำตก สวย ๆ ที่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านผาตั้ง หมู่ 1 ตำบลผาตั้ง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เป็นธารน้ำไหลไปตามลานหิน เป็นระยะลดหลั่นกันไปประมาณ 30 เมตร ปลายทางของแม่น้ำไหลลงสู่ลำน้ำโขง เหมาะแก่การมาเที่ยวชมในช่วงฤดูฝน คือระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ซึ่งจะมีแอ่งน้ำให้เล่น ส่วนบริเวณโดยรอบเป็นสวนรุกขชาติที่มีต้นไม้หลากหลายชนิดขึ้นอยู่หนาแน่น และในบริเวณใกล้เคียงยังมีร้านค้านำสินค้าการเกษตรมาจำหน่าย รวมไปถึงร้านอาหารที่ตั้งอยู่ก่อนเดินทางไปเที่ยวยังน้ำตก ทั้งนี้บริเวณน้ำตกห้ามนำอาหารลงไปรับประทาน
4. พระธาตุบังพวน
พระธาตุบังพวน เป็นพระธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่และสำคัญยิ่งของจังหวัดหนองคาย ตั้งอยู่วัดพระธาตุบังพวน หมู่บ้านดอนหมู ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมือง อีกทั้งยังเป็นพระธาตุที่สำคัญองค์หนึ่งของภาคอีสาน ส่วนเจดีย์เก่านั้นสร้างด้วยอิฐดินเผา ส่วนปัจจุบันมีการบูรณะเจดีย์ขึ้นใหม่ มีฐานทักษิณ 5 ชั้น กว้าง 17.20 เมตร สูงถึงยอดฉัตร 34.25 เมตร รูปปรางค์สี่เหลี่ยมต่อกันเป็นบัวปากระฆังชั้นที่ 6 เป็นรูประฆังคว่ำ ชั้นที่ 7 เป็นรูปดาวปลี และเหนือชั้นไปเป็นที่ตั้งฉัตรและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ นอกจากนี้ภายในบริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง ทั้งสถูปเจดีย์เก่าแก่ พระพุทธรูปโบราณศิลปะล้านช้าง, พิพิธภัณฑ์พระธาตุบังพวน ซึ่งเป็นห้องเล็ก ๆ อยู่ใกล้กับองค์พระธาตุ ซึ่งภายในจะเก็บซากเศษหิน ใบเสมา ศิลาจารึก ตลอดจนโบราณวัตถุของพระธาตุองค์เก่า รวมทั้งประวัติขององค์พระธาตุ และสระพญานาค อยู่ในบริเวณใกล้ ๆ องค์พระธาตุ ซึ่งในสมัยโบราณเมื่อมีการแต่งตั้งผู้เป็นเจ้าเมืองก็จะนำน้ำจากสระนี้ไปสรง เพื่อเป็นสิริมงคลอีกด้วย
5. ตลาดท่าเสด็จ ( ตลาดอินโดจีน )
มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวเอาใจนักช้อปกับ ตลาดท่าเสด็จ หรือตลาดอินโดจีนหนองคาย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมือง แหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เพราะด้วยการค้าขายสำหรับคนท้องถิ่นเอง, พ่อค้า-แม่ค้า และนักท่องเที่ยวจากประเทศลาว รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจากหลายเชื้อชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวต่างมาจับจ่ายซื้อของที่ระลึกและของฝากกันเป็นจำนวน มาก ซึ่งตลาดแห่งนี้มีครบครันทั้งเสื้อผ้า, ของใช้, กระเป๋า, เสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องครัว, อาหาร, สินค้า OTOP และร้านอาหารอร่อย ๆ มากมายที่ชวนละลายตังค์ในกระเป๋าไม่น้อย สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาช้อปตัวตลาดจะเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.30 น. แถมบริเวณริมแม่น้ำโขงยังมีบริการที่พัก, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟให้นั่งเพลิน ๆ รับลมเย็น ชมวิวริมแม่น้ำโขงได้อีกด้วย
6. อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ
เป็น อนุสาวรีย์คู่บ้านคู่เมืองแห่งเดียวในจังหวัดหนองคาย ตั้งอยู่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดหลังเก่า ภายในบรรจุอัฐิของผู้ที่เสียชีวิตในการปราบกบฏฮ่อ เมื่อปี ร.ศ. 105 หรือ พ.ศ. 2429 เสด็จในกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมซึ่งเป็นแม่ทัพปราบกบฏฮ่อในครั้งนั้น รับสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนความดีของผู้ล่วงลับที่ได้เสียสละชีวิต เพื่อชาติบ้านเมืองในการปราบฮ่อ เดิมสถานที่ตั้งอยู่บริเวณหลังสถานีตำรวจภูธร จังหวัดหนองคาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 ทางจังหวัดหนองคายได้รับงบประมาณในการบูรณะให้อนุสาวรีย์ปราบฮ่อนั้นมีความ สวย สง่างาม สมกับเป็นอนุสาวรีย์ของผู้ที่ได้เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง จึงย้ายมาสร้างใหม่ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด โดยอนุสาวรีย์ทั้ง 4 ทิศ มีคำจารึกภาษาไทย, จีน, ลาว และอังกฤษ ซึ่งทุกปีทางจังหวัดก็จะมีการจัดงานบวงสรวงและฉลองอนุสาวรีย์ในวันที่ 5 มีนาคม ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
7. วัดหินหมากเป้ง
ตั้ง อยู่ภายในหมู่บ้านไทยเจริญ หมู่ 4 ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ บริเวณของวัดรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด เงียบสงบ เหมาะกับการใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมเพื่อสงบจิตใจ บำเพ็ญเพียรฝึกจิตนั่งวิปัสสนา ทำสมาธิ หรือเดินจงกรม ส่วนพื้นที่ด้านหนึ่งติดกับลำน้ำโขง ซึ่งจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพสวยงามได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่สนใจต้องการเข้าเยี่ยมชมวัดหินหมากเป้งแห่งนี้นั้นสามารถทำการ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ วัดหินหมากเป้ง โดยทางวัดจะเปิดให้เข้าชมในทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
ส่วนชื่อของวัดหินหมากเป้ง เป็นชื่อหินสามก้อนซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่ริมฝั่งโขงที่ตั้งอยู่หน้าวัด มีรูปลักษณะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่งทองคำสมัยเก่าและคำว่า หมาก ก็มาจะภาษาอีสานที่หมายถึงลูก, ผล นั่นเอง
8. ภูห้วยอีสัน
เชื่อ ว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงไม่ค่อยคุ้นหูกับแหล่งท่องเที่ยวนี้มากนัก โดย ภูห้วยอีสัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่เมื่อ 2-3 ปี ที่ผ่านมา ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ซึ่งไฮไลท์ของการเดินทางมาเที่ยวที่แห่งนี้ ก็คือการได้ขึ้นไปชมวิวความสวยงามของทะเลหมอก ที่หลายคนขนานนามให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดอันซีนแบบไทยแท้ แถมยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ความสวยงามของแม่น้ำโขงได้อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ควรไปเยือนเมื่อไปถึงเมืองหนองคายกันเลย ทีเดียว
9. เทศกาลชมบั้งไฟพญานาค
และ ปิดท้ายงานประจำปีอย่าง เทศกาลชมบั้งไฟพญานาค ลูกไฟที่ผุดขึ้นจากกลางลำน้ำโขงที่เป็นความเชื่อของชาวบ้าน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ความมหัศจรรย์ที่ลูกไฟสีแดงอมชมพูพวยพุ่งขึ้นจากลำแม่น้ำ โขง เหนือผิวน้ำตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งแหวกอากาศขึ้นไปสูงประมาณ 50-150 เมตร นานประมาณ 5-10 วินาที แล้วก็จะดับหายวับไปในอากาศ โดยไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ ลูกไฟที่เกิดขึ้นจะไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ขนาดของลูกไฟมีตั้งแต่เท่าหัวแม่มือจนถึงขนาดเท่าฟองไข่ไก่ และจะเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนของ วันออกพรรษา ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี โดยสามารถดูได้จากสถานที่ดัง ๆ เช่น อำเภอเมือง, อำเภอโพนพิสัย, อำเภอท่าบ่อ, อำเภอศรีเชียงใหม่, อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย และอำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ เป็นต้น
10. พระธาตุหล้าหนอง หรือ พระธาตุกลางน้ำ
พระธาตุหนองคาย หรือพระธาตุกลางน้ำเดิมชื่อพระธาตุหล้า หนองเป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมธาตุ ฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ตามตำนานอุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนมจากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีภาค 7 พบว่าองค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ 17.2 เมตร ย่อมุมที่ฐาน และมีความสูงประมาณ 28.5 เมตร หักออกเป็น 3 ท่อน สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 20–22 เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวน ในหนังสืออุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนม ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงการสร้างพระธาตุหล้าหนองว่า พระธาตุองค์นี้ สร้างโดยพระอรหันต์5 องค์ ประกอบด้วย พระมหารัตนเถระ, พระจุลรัตนเถระ, พระมหาสุวรรณปราสาทเถระ, พระจุลสุวรรณปราสาทเถระ และพระสังฆวิชัยเถระ ที่ล้วนเป็นศิษย์พระพุทธรักขิต พระธรรมรักขิต พระสังฆรักขิต พระอรหันต์ทั้ง 3 องค์ พระอรหันต์ทั้ง 5 ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของ พระพุทธเจ้าจาก ประเทศอินเดียมาพร้อมกันและได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้พร้อมกัน 6 แห่ง คือ
- พระธาตุหอผ้าหอแพบ้านทรายฟองเมืองหาดทรายฟองสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระธาตุหัวเหน่า 29 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระอุรังคธาตุ หรือพระธาตุหน้าอก บรรจุไว้ที่พระธาตุพนมอำเภอธาตุพนมจังหวัดนครพนม
- พระธาตุบังคล หรือกระเพาะอาหาร บรรจุไว้ที่พระธาตุบังพวนวัดพระธาตุบังพวนอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุเขี้ยวฝาง 7 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุโพนจิกเวียงงัวอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุฝ่าพระบาทเบื้องขวา 9 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุเมืองลาหรือพระธาตุหล้าหนองอำเภอ เมืองหนองคายโดย พระธาตุหล้าหนองนี้ตั้งอยู่กลางบริเวณวัดธาตุ หรือวัดสิริมหากัจจายน์ ชุมชนวัดธาตุเทศบาลเมืองหนองคาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)